Bitcoin: Virtual Currency;
Bitcoin คืออะไร
ประวัติ bitcoin
bitcoin คือเงินออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นเงินที่ใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ และสามารถแลกเป็นเงินสด ได้ที่ร้านแลก bitcoin ของทั่วโลก ในสาขาต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ คุณสามารถซื้อสินค้าอะไรก็ได้จากร้านที่รับ bitcoin เปรียบเหมือนกันเราสามารถซื้อสินค้าต่าง ๆ ได้จากร้านที่รับบัครเครดิต นั่นเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเดิมอื่น ๆ เลย ดังนั้น bitcoin ก็คือเงินที่ใช้ซื้อสินค้านั่นเอง แต่อยู่ในรูปแบบออนไลน์
bitcoin ในต่างประเทศ
ล่าสุดที่แวนคูเวอร์ใน ประเทศแคนาดา เริ่มมีการตั้งตู้เอทีเอ็มบิตคอยน์ให้คนที่มีบัญชี (หรือที่เรียกว่าแอดเดรส) บิตคอยน์สามารถกดแลกเงินสดออกมาได้ ต่างจากการใช้ตู้เอทีเอ็มของธนาคารตรงที่การกดตู้เอทีเอ็มบิตคอยน์เหมือนกับ การแลกบิตคอยน์เป็นเงินสดมากกว่า ขณะที่ตู้เอทีเอ็มทั่วไปคือการเบิกเงินสดจากบัญชีธนาคาร
ตู้ เอทีเอ็มบิตคอยน์ดังกล่าวเป็นของบริษัท Bitcoiniacs ที่วางแผนจะติดตั้งเพิ่มอีกหลายเครื่องในสิ้นปีนี้ และในปี 2014 จะขยายไปในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก แม้ว่ารัฐบาลแคนาดาจะไม่ยอมรับบิตคอยน์เป็นสกุลเงินตรา และยังถูกจับตามองจากองค์กรเฝ้าระวังด้านการฟอกเงินของแคนาดาด้วย
bitcoin ในประเทศไทย
ปัจจุบัน มีร้านที่รับแลก bitcoin ในไทย หลายร้าน ทั้งในกรุงเพฯ และต่างจังหวัด โดยมีอัตราแลกเปลี่ยน ประมาณ 25,000 บาท ถึง 30,000 บาท ต่อ 1 bitcoin ร้านค้าต่าง ๆ ที่รับแลกสามารถดูได้ใน link ด้านล่าง
ประวัติ bitcoin
หลังวิกฤตการเงินโลกราวปี 2009 มีสกุลเงินตราเกิดใหม่ขึ้นมาสกุลหนึ่งคือ "บิตคอยน์" (Bitcoin) เป็นสกุลเงินตราดิจิทัล ที่เกิดจากการคิดค้นโดยบุคคลนิรนามซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโปรแกรมเมอร์และนัก คณิตศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์รวมกัน
Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลเกิดขึ้นในปี 2009 จากการเสนอบทความของ Satoshi Nakamoto โดยมีหลักการว่าในการเปลี่ยนมือของเงินนั้นจะมีการทำ Digital Sign กำกับในทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นและมีการยืนยันโดยบุคคลอื่นที่อยู่ในเครือข่ายณ.ขณะนั้น (Peer) ซึ่งในความเป็นจริงก็คือคอมพิวเตอร์อื่นในเครือข่ายที่ใช้งานโปรแกรม Bitcoin อยู่ในขณะนั้น ซึ่งทำให้ Bitcoin แตกต่างจากเงินสกุลอื่นทุกสกุลเพราะตัดการควบคุมของหน่วยงานกลางออกไป อยู่ได้โดยอาศัยการเชื่อใจกันของชุมชนผู้ใช้งาน และในชุมชนนั้นก็ประกอบด้วยผู้ใช้ ร้านค้า ศูนย์รับแลกเปลี่ยนเงินตรากับเงินสกุลที่ใช้ในโลกจริง
Bitcoin ทำงานอย่างไร
การใช้งาน Bitcoin เริ่มต้นจากการสร้างกระเป๋าเงิน หรือ Wallet ซึ่งเก็บอยู่บนคอมพิวเตอร์โดย Bitcoin ซอฟต์แวร์ (ดาวน์โหลดได้ที่http://www.weusecoins.com) หรือเก็บไว้ที่ผู้บริการฝากกระเป๋าเงินซึ่งอยู่บนอินเทอร์เน็ตเช่น MyBitcoin (https://www.myBitcoin.com) Wallet แต่ละใบจะมีที่อยู่ที่ไม่ซ้ำกัน ที่อยู่ได้มาจาก Public Key ของคู่กุญแจที่สร้างจากรหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-Key Cryptography) โดย Private Key ของคู่กุญแจนั้นใช้เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม
Wallet จะเก็บยอดเงินคงเหลือ ประวัติการทำธุรกรรม และที่อยู่ของผู้ที่ทำธุรกรรมด้วย แต่จะไม่มีข้อมูลของผู้ใช้เลยว่าเป็นใคร ซึ่งทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรมได้คล้ายกับการใช้ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ทำการซื้อขายสินค้าหรือเปลี่ยนมือผู้ถือเงิน
การทำธุรกรรมของ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหรือโอนเงินมีลักษณะเดียวกัน คือเมื่อผู้ส่งจะทำการส่งเงินของตน จะกำหนดมูลค่า Bitcoin ที่จะทำการส่งและต่อท้ายด้วยที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งก็คือ Public Key ของผู้รับ) หลังจากนั้นโปรแกรมทำการ Hash ข้อมูลเป็นการทำ Digital Signature จากนั้นข้อมูลการทำธุรกรรมนี้จะถูกกระจายไปบนเครือข่าย คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะทำการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง เมื่อผู้รับได้รับก็จะใช้ Private Key ของตนจับทำการ Sign เพื่อยืนยันการรับเข้า Wallet
เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นที่อยู่ในเครือข่ายนอกจากจะช่วยยืนยันการทำธุรกรรมแล้ว ยังช่วยป้องกันการจ่ายเงินของผู้ส่งก้อนเดียวกันไปยังผู้รับมากกว่าหนึ่งราย (Double-Spending) ซึ่งเป็นปัญหาของเงินดิจิทัลโดยส่วนใหญ่อีกด้วย ในระบบการตรวจสอบแบบนี้จะตรงกันข้ามกับการทำธุรกรรมผ่านระบบที่มีผู้ควบคุมเช่นธนาคาร ซึ่งเน้นการปกปิดรายการธุรกรรมแต่ไม่ได้ปกปิดตัวตนของผู้ทำธุรกรรม แต่ Bitcoin เปิดเผยการทำธุรกรรมแต่ปกปิดตัวตนของผู้ทำธุรกรรม
Bitcoin ใช้ได้ที่ใดบ้าง
Wallet จะเก็บยอดเงินคงเหลือ ประวัติการทำธุรกรรม และที่อยู่ของผู้ที่ทำธุรกรรมด้วย แต่จะไม่มีข้อมูลของผู้ใช้เลยว่าเป็นใคร ซึ่งทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ทำธุรกรรมได้คล้ายกับการใช้ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ทำการซื้อขายสินค้าหรือเปลี่ยนมือผู้ถือเงิน
การทำธุรกรรมของ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหรือโอนเงินมีลักษณะเดียวกัน คือเมื่อผู้ส่งจะทำการส่งเงินของตน จะกำหนดมูลค่า Bitcoin ที่จะทำการส่งและต่อท้ายด้วยที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งก็คือ Public Key ของผู้รับ) หลังจากนั้นโปรแกรมทำการ Hash ข้อมูลเป็นการทำ Digital Signature จากนั้นข้อมูลการทำธุรกรรมนี้จะถูกกระจายไปบนเครือข่าย คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะทำการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง เมื่อผู้รับได้รับก็จะใช้ Private Key ของตนจับทำการ Sign เพื่อยืนยันการรับเข้า Wallet
ข้อมูลและวิธีการทำธุรกรรมของ Bitcoin |
Bitcoin ใช้ได้ที่ใดบ้าง
สินค้าและบริการที่สามารถใช้ Bitcoin ซื้อได้ในปัจจุบันมีหลายหมวดหมู่ แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังเป็นสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตก็ตาม ตัวอย่างเช่น
บริการเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตได้แก่ Web Hosting, VoIP, Web Design, Security Tesing และอีกหลายบริการออนไลน์เช่น เกม บริการบน Cloud บริการแชร์ไฟล์ ซื้อเพลง หรือภาพยนตร์
สินค้าทั่วไปเช่น สินค้าเกี่ยวกับบ้าน สินค้าอิเลคทรอนิคส์ ขนม หนังสือ เป็นต้น
สำหรับรายชื่อผู้ให้บริการสินค้าและบริการสามารถดูได้จาก https://en.Bitcoin.it/wiki/Trade
จะเปิดร้านค้าที่รับ Bitcoin ทำได้อย่างไร
ในกรณีที่เราอยากขายสินค้าหรือบริการที่รับ Bitcoin เพียงแค่สร้าง Wallet เพื่อมารับชำระเงิน ก็สามารถทำได้ เพียงแต่เมื่อลูกค้าต้องการชำระเงิน เราต้องคอยส่ง Address ของ Wallet ของเราให้ลูกค้าแต่ละรายจากโปรแกรม Bitcoin ซึ่งไม่สะดวกนักในการทำ Online Shopping
อย่างไรก็ตามเราสามารถจะเชื่อมต่อระบบ Online Shopping ของเราเข้ากับ Bitcoin ได้ซึ่งมีการให้บริการ Shopping Cart Interface กับ Wallet จากผู้ให้บริการหลายรายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม บริการและ Interface เหล่านี้สามารถ ดูและเลือกบริการได้จากhttps://en.Bitcoin.it/wiki/Category:Shopping_Cart_Interfaces
นอกจากนี้เรายังสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับโปรแกรม Bitcoin เพื่อทำการทำธุรกรรมอัตโนมัติ โดยผ่าน JSON-RPC API ตามความต้องการเองด้วยก็ได้ซึ่งสามารถศึกษาได้จาก API Reference ที่https://en.Bitcoin.it/wiki/API_tutorial_(JSON-RPC)
ความเสถียรของค่าเงิน
ความปลอดภัยในการใช้ Bitcoin |
ถ้าศึกษาดูจากการทำงานของการใช้งาน Bitcoin แล้ว จะพบว่าอัลกอริทึ่มในการทำธุรกรรมนั้นอยู่ในระดับปลอดภัยมากทีเดียว แต่ว่าจุดอ่อนของ Bitcoin กลับอยู่ที่การเก็บข้อมูลของ Wallet ซึ่งอยู่บนหลากหลายระบบปฏิบัติการ ตั้งแต่ Windows, Mac OS, Linux รวมไปถึงบน Mobile Platform ซึ่งจะมีในอนาคต เพราะว่าเป็น Open Source
เช่นเดียวกับการใช้งาน Application อื่น มิจฉาชีพสามารถฉวยโอกาสใช้การส่ง Malware เพื่อคุกคาม ขโมย Wallet เช่นเดียวกันกับการส่ง Trojan เพื่อขโมยข้อมูลอื่น และเนื่องจาก Wallet เป็น Anonymous ไม่สามารถระบุเจ้าของได้ การโดนขโมย Wallet ก็เช่นเดียวกับการโดนขโมยกระเป๋าเงินที่มีเงินสดอยู่ในนั้น
อย่างไรก็ตามเราสามารถทำให้ Wallet ปลอดภัยได้โดยการทำการเข้ารหัสลับกับแฟ้มข้อมูล Wallet ของ Bitcoin โดยใช้ซอฟต์แวร์จาก Third Party เพื่อใช้เข้ารหัสลับบน Windows ส่วนบน Mac OS และ Linux สามารถทำได้เลยจากตัวระบบปฏิบัติการ รายละเอียดสามารถดูได้จากhttps://en.bitcoin.it/wiki/Securing_your_wallet
Bitcoin เป็น Virtual Currency ที่มีแนวคิดใหม่ในการทำธุรกรรมหลายอย่างได้แก่ การที่ให้ชุมชนเป็นผู้ควบคุมกันเอง (Peer-to-Peer) การเปิดเผยการทำธุรกรรมแต่ปกปิดผู้ทำธุรกรรม การกำหนดที่มาและจำนวนเงินในระบบโดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และเครือข่าย เหล่านี้ทำให้ Bitcoinเป็นที่น่าจับตามองและศึกษาแนวการนำมาใช้ อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องเสถียรภาพของค่าเงิน ความปลอดภัยในการขโมย Wallet จาก Malware ก็เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังและรวมถึงการถูกนำไปใช้เพื่อการฟอกเงินด้วย
การแลกเปลี่ยนเงิน Bitcoin กับสกุลเงินจริงสามารถทำได้ที่ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินในแต่ละท้องถิ่น ในประเทศไทยมีอยู่ในแถบกรุงเทพและปริมณฑล 3 ราย และที่เชียงใหม่ 1 ราย รายชื่อผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบได้จาก http://www.tradeBitcoin.com |
แม้ว่าจะมีผู้ให้บริการแต่ละท้องที่ก็ตาม ส่วนใหญ่ผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยน Bitcoin กับเงินจริงเป็นปริมาณมากจะไปที่ผู้ให้บริการอย่างเช่น Mt. Gox (https://www.mtgox.com) Bitcoin Market (https://www.Bitcoinmarket.com) หรือ TradeHill (https://www.tradehill.com) ราคาซื้อขายเฉลี่ย ณ.วันที่ 1 กรกฎาคม 2011 อยู่ที่ 16 $US ต่อ 1 Bitcoin ส่วนราคาซื้อขายประจำวันสามารถดูได้จากhttp://Bitcoincharts.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น